จากภาพแสดงถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็ก(สีฟ้า) และคลื่นไฟฟ้า(สีแดง) เดินทางไปพร้อมกันในทิศทางตั้งฉาก โดย λ คือความยาวของ 1 ลูกคลื่นที่เราเรียกว่ากี่นาโนเมตรที่ท่องไปสอบกันมา ส่วนความถี่(f)นั้นคือสิ่งที่บ่งบอกว่ามันมีกี่ลูกคลื่นใน 1 วินาที หรือที่เราเรียกกันว่า เฮิตซ์ (Hertz : Hz) นั่นเอง และตัว c ในรูปก็คือความเร็วแสงในสุญญากาศประมาณ 300,000.000 m/s ที่ได้กล่าวไป โดยทั้งสามค่านี้สามารถคำนวณกลับไปกลับมาได้จากสมการ
ส่วนที่เรียกว่า VHF UHF มันคือยังไง มันคือการแบ่งประเภทของคลื่นตามความถี่ ซึ่งแบ่งตามการจัดของ ITU ได้ตามนี้| ย่านความถี่ | ความถี่ของคลื่น | ความยาวของลูกคลื่น | ตัวอย่างการใช้งาน |
| ELF : Extremely low frequency | 3 - 30 Hz | 10 - 100 Mm | การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ |
| SLF : Super low frequency | 30 - 300 Hz | 1 - 10 Mm | การติดต่อกับเรือดำน้ำ |
| ULF : Ultra low frequency | 300 - 3000 Hz | 100 km - 1 Mm | ใช้สังเกตุสนามแม่เหล็กโลก |
| VLF : Very low frequency | 3 - 30 kHz | 10 - 100 km | ระบบวิทยุนำทาง |
| LF : Low frequency | 30 - 300 kHz | 1 - 10 km | RFID |
| MF : Medium frequency | 300 - 3000 kHz | 100 m - 1 km | วิทยุ AM |
| HF : High frequency | 3 - 30 MHz | 10 - 100 m | วิทยุคลื่นสั้น |
| VHF : Very high frequency | 30 - 300 MHz | 1 - 10 m | วิทยุสื่อสาร |
| UHF : Ultra high frequency | 300 - 3000 MHz | 0.1 - 1 m | สัญญาณโทรศัพท์มือถือ |
| SHF : Super high frequency | 3 - 30 GHz | 0.01 - 0.1 m | เตาไมโครเวฟ |
| ELF : Extremely high frequency | 30 - 300 GHz | 1 mm - 1 cm | |
| FIR : Far infrared | 300 - 3000 GHz | 100 µm - 1 mm | |
| MIR : Mid infrared | 3 THz - 30 THz | 10 - 100 µm | |
| NIR : Near infrared | 30 - 300 THz | 1 - 10 µm | |
| Visible light (colored bands) | 300 - 3000 THz | 100 nm - 1 µm | แสงที่ตามองเห็นอยู่ในช่วงนี้ |
| NUV : Near ultraviolet | 3 - 30 PHz | 10 - 100 nm | |
| EUV : Extreme ultraviolet | 30 - 300 PHz | 1 - 10 nm | |
| SX : Soft X-Rays | 300 - 3000 PHz | 100 pm - 1 nm | |
| HX : Hard X-rays | 3 - 30 EHz | 10 - 100 pm | รังสีเอ็กเรย์ |
| {\displaystyle \gamma } |
30 - 300 EHz | 1 - 10 pm | รังสีนิวเคลียร์ |

การผสมคลื่นแบบ FM จะตรงข้ามกับแบบ AM คือแบบ FM นี้ ความถี่ของคลื่นที่ส่งออกจะเปลี่ยนไปตามคลื่นสัญญาณที่จะส่ง แต่แอมพิจูดนั้นจะคงที่เสมอเท่ากับแอมพุจูดของคลื่นพาห์ ด้วยการที่แอมพิจูดคงที่ตลอดเวลาทำให้กำหนดระยะห่างระหว่างช่องสัญญาณได้ค่อนข้างแน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าจะมียอดคลื่นบางอันแหลมไปกวนข้าง ๆ หรือยอดที่แหลมของช่องข้าง ๆ จะเข้ามารบกวนเรา (กลับไปตอนเราแบ่งเลนถนน หากเป็น AM เราแบ่งเลนถนนไว้ 3 เมตร มีจักรยานมาปั่นก็เหลือพื้นที่เปล่า แต่พอมีรถบรรทุกมาก็กว้างจนกินเลนอื่น ทีนี้เป็น FM เรารู้ว่าจะมีแค่รถเก๋งวิ่ง ความกว้่างเลนละ 3 เมตรก็จะวิ่งได้กำลังพอดีและไม่รบกวนเลนอื่น) ซึ่ง FM ก็มีวิธีการเป็นเทคนิคย่อยลงไปอีก เช่น การผสมเชิงเลขทางแอมปลิจูด (Amplitude – Shift Keying : ASK) การผสมเชิงเลขทางความถี่ (Frequency – Shift Keying : FSK) การผสมเชิงเลขทางเฟส (Phase – Shift Keying : PSK)
ทีนี้หากอุปกรณ์ของเรามีทิศทางที่แน่นอน เช่น เรามีอุปกรณ์ตรวจวัดอากาศ แต่อยู่ไกลมากจากตัวรับที่จะรับข้อมูลไปแสดงผล สายอากาศรอบตัวธรรมดาส่งสัญญาณไปไม่ถึง ซึ่งทั้งสองตัวนี้ติดประจำที่ไม่มีการเคลื่อนย้าย เรารู้ทิศทางที่แน่นอนที่สายอากาศจะชี้ไป ตรงนี้ "สายอากาศแบบทิศทาง" จะเข้ามาช่วยเรา สัญญาณจะพุ่งไปในทิศที่สายอากาศชี้ไป เหมือนเราเอาลูกโป่งลูกเดิมมาบีบด้านหลังและด้านข้างทั้งสอง มันเลยพองพุ่งไปด้านหน้าที่ไม่ได้บีบนั่นเอง สายอากาศแบบนี้ที่เห็นได้บ่อยคือจานดาวเทียมนั่นเอง หรือใครพอมีอายุ(อย่างน้อยก็พอ ๆ กับผู้เขียน) คงเคยเห็นเสาก้างปลาโทรทัศน์ติดทุกบ้านสมัยก่อน ต้องบิดหันเสาไปยังทิศของสถานีส่งสัญญาณ นั่นแหละครับคือสายอากาศแบบทิศทาง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นำมาฝากกันสำหรับใครที่ยังมึน ๆ งง ๆ อยู่นะครับ พยายามอธิบายเป็นภาษาง่าย ๆ ให้เห็นภาพ ไม่อยากใช้หลักวิชาการเยอะเดี๋ยวจะเบื่อกันไปก่อน และไม่ควรนำไปอ้างอิงนะตรับ ควรไปศึกษาหาข้อมูลกันเพิ่มเติมให้ได้ข้อมูลถูกต้องตามหลักการดีกว่า ถ้าเอาบทความนี้ไปอ้างอิงทำรายงานส่งครูแล้วได้ 0 กลับมาผู้เขียนไม่รับผิดชอบนะครับ แต่หากชอบบทความของเราก็ขอแค่อุดหนุนซื้อสินค้าของร้านเราเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีครับ หรือสนับสนุนด้วยการแชร์บทความไปให้เพื่อนอ่านก็ได้ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม สำหรับบทความต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร ติดตามกันต่อนะครับ
Fitrox Electronics